Thursday, July 31, 2014

วันนี้จะมาแนะนำ อิริยาบททำให้เกิดโรคอีกแบบหนึ่ง มีคนป่วยมาหาด้วยอาการปวดหลัง(บริเวณสัญญาณ1หลัง) โดยปวดมาเป็นปี เวลานั่งขัดสมาทไม่ถึง5นาทีก็มีอาการปวด หรือเวลานั่งขับรถก็เช่นกัน(ไม่มีอาการร้าวลงขา) นวดที่ไหนหมอนวดก็บอกว่าง่ายๆแต่ก็ไม่หาย ฝังเข็มก็แล้วไม่ดีขึ้น แต่เวลาเดินไม่เป็นไร เป็นอาการที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง วันนี้มานวดเป็นครั้งที่5แล้ว ผมพยายามหาสาเหตุ พอพับขาเป็นเลข4 ปรากฏว่า เข่าลอยขึ้นเล็กน้อยเริ่มจับทางถูก ถามเขาว่าเวลานั่งชอบยกขาข้างที่ปวดบ่อยมั้ย เขาบอกว่า เวลานอน(จะเป็นอย่างในรูป)ประจำทำมาหลายปี ผมคลำเส้น1ขาด้านนอกบริเวณต้นขาชิดหัวตะคากปรากฏว่าแข็งเป็นลำ กดแล้วมีอาการเจ็บมาก กดจนนิ่ม ยิ่งบริเวณสัญญาณ2ขาด้านนอกก็แข็งเป็นลำเช่นเดียวกัน ผมนวดจนนิ่ม หลังนวดเสร็จให้เขาลองนั่งท่าขัดสมาทซ้ำ ปรากฏว่านั่งนานกว่า5นาทีก็ไม่ปวด อิริยาบทท่านี้หมอนวดเป็นกันเยอะมาก เพราะต้องนั่งนวดทำให้ยกขาข้างหนึ่งขึ้นแบบไม่รู้ตัว พอยกนานๆจะทำให้เอ็นรอบสะโพกด้านในท้องเกิดอาการบวม ทำให้ปวดหลัง และการเดินผิดรูป(ไม่ได้องศา) ให้หมอนวดศึกษาไว้เป็นประสบการณ์ครับ ด้วยความปรารถนาดี(บางคนนั่งแบบนี้ อาจไม่เป็นไรก็ได้ เนื่องจากสภาพร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน)




ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ --> Thara Thai Massage Channel
ติดตาม --> https://www.facebook.com/TharaMassage

Saturday, July 26, 2014

วันนี้เรา จะมาคุยเรื่องการนวดแก้อาการ"นอนกรน"กันครับ
การนอนกรน(อ่านรายละเอียดในเพจก่อนหน้า) บางอาการอาจมาจาก

กล้ามเนื้อ"ลิ้น"อ่อนแอ ซึ่งสามารถนวด"ลิ้น"ได้ อย่าเพิ่ง งง ครับฟังไปเรื่อยๆ
ก่อน เวลานอนหลับโดยเฉพาะในท่านอนหงาย เวลาหลับสนิท ลิ้น จะตกลงไปที่คอ ทำให้หลอดลมแคบลงจนต้องหายใจทางปาก ยิ่งเวลาเมา หรืออ่อนเพลียมากๆยิ่งกรน สนั่นเลยทีเดียว จนคนข้างๆนอนไม่ได้ เอาละครับเราจะมาคุยวิธีนวดหรือออกกำลังกล้ามเนื้อลิ้นกัน ซึ่งถ้าทำบ่อยๆอาจช่วยลดอาการนอนกรนได้ครับ
1 แลบลิ้นออกมาให้ยาวที่สุด นับในใจ1-5แล้วหดลิ้นเหมือนเดิม ทำซ้ำจนรู้สึก"เมื่อย"ลิ้น อย่าถามว่าเมื่อยลิ้นมีอาการอย่างไร ต้องลองทำดูเอง หลังจากยืดลิ้น แล้วควรนวดเพดานปาก โดยการใช้นิ้วโป้งที่สะอาดหรือใส่ถุงมือ "กดนวด"เพดานปากด้านบนส่วนลึกจะพบกล้ามเนื้อนิ่มๆ(ไม่ใช่บริเวณกระดูก)ประมาณ1-2นาที
2 นวดลิ้นด้วยตัวเอง โดยการแลบลิ้นให้ยาว และใช้ฟันหน้า"ขบหรือกัดลิ้นเบาๆ" เริ่มจากปลายลิ้น หรือจะใช้ฟันกรามขบหรือกัดลิ้นเบาๆทั้งด้ายซ้ายและขวาจนทั่วลิ้น(คล้ายๆกับเคี้ยวหมากฝรั่ง) ทำบ่อยๆกล้ามเนื้อลิ้นก็จะแข็งแรงขึ้น วิธีนี้ใช้กับอาการอัมพฤกษ์ซีกขวา ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการกลืน หรือการพูดได้เป็นอย่างดี จะทำให้การกลืนและการพูดดีขึ้นอย่างมาก
3 นวดบริเวณหลัง(ไม่ใช่เอว)จนทั่ว เน้นขอบสบักด้านนอกและด้านในสบัก จะทำให้หายใจได้ลึกขึ้น (นวดอาทิตย์ละครั้งก็ดี)
4 ถ้างด กินข้าวเย็นจะยิ่งดีมาก ยิ่งเห็นผลเร็วทันใจ
5 เริ่มนวดลิ้นใหม่ๆ เวลานอนควรนอนตะแคงด้วย
การนวดลิ้นควรทำอย่างน้อยวันละ4-5ครั้งและ ทำติดต่อกันเป็นประจำ ประมาณ1เดือนจะเริ่มรู้สึกกรนน้อยหรือเสียงเบาลง และอย่าลืม ลดน้ำหนักถ้ารู้สึกตัวว่าอ้วน
โดยผู้ชาย วัดจากส่วนสูงแล้วลบด้วย100 ขาดเกินได้5กิโลกรัมเช่นสูง170ซม.น้ำหนักตวรอยู่ที่65-75กิโลกรัม
ผู้หญิงให้ลบด้วย110 ขาดเกินได้5กิโลกรัมเช่นเดียวกัน
ไปลองทำดูครับ ได้ผลอย่างไรมาบอกกันบ้าง เพราะวิธีนี้รักษาแบบธรรมชาติ ไม่เสียเงิน 





ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ ดูได้ที่นี่ --> Thara Thai Massage Channel
ติดตาม facebook ได้ที่ --> https://www.facebook.com/TharaMassage

Friday, July 25, 2014

วันนี้ มาคุยเรื่องไมเกรนอีก2อย่างที่เหลือกันครับ
จุดที่ถัดจากอิทา ไปอีก1ข้อนิ้วมือของนิ้วชี้(บริเวณกำด้น ต้นคอ)
ก็จะมีจุดที่กดแล้ว "วิ่ง"ไปที่ตาด้วยเช่นกัน ทำให้มีอาการปวดศีรษะคล้ายไมเกรน แต่ปวดรอบๆบริเวณเบ้าตา ไม่ปวดหัวคิ้ว ไมเกรนประเภทนี้เรียก ไมเกรนเทียมก็ได้ เพราะสาเหตุเกิดจากการใช้สายตามากเกินไป เคยนวดและกดจุดนี้ คนป่วยร้องเจ็บมาก ก็ถามว่าสายตาเอียงหรือเปล่า ตอบว่าใช่ หลังนวดบอกให้ไปตัดแว่นสายตาใส่ ปรากฏว่าไม่นานอาการปวดศีรษะก็หาย
วิธีการนวด ไมเกรนที่เกิดจากการใช้สายตามาก ก็นวดแนวหลังแต่เป็นเส้น2 นวดไล่จากเอวขึ้นไปที่ฐานกำด้น ใช้เวลาประมาณ15นาที หลังจากนั้นกดจุดนี้(ที่กำด้น)กดแล้วนับ10-15คาบลมหายใจ กดซ้ำ5-10ครั้งหรือจนกว่าอาการเจ็บลดลง ใช้ผ้าขนหนูคลุมศีรษะแล้วใช้สันศอก รีดศีรษะเหมือนไมเกรนแท้ เสร็จแล้วให้นอนหงาย นวดรอบบริเวณรอบดวงตา
จุดที่ถัดจากจุดที่ใช้สายตามาก ไปอีก1ข้อนิ้วมือของนิ้วชี้ ก็จะมีอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ปวดศีรษะคล้ายไมเกรน แต่จะปวดรอบๆขมับ จุดนี้ มาจากเส้นกาลทารี ถ้ากดจุดนี้แล้วเจ็บ บ่าจะตึงมาก ทำให้เลือด-ลม ขึ้นศีรษะไม่สะดวก
วิธีการนวด ต้องนวดตั้งแต่มือขึ้นไปหรือพื้นฐานแขนนั่นเอง หลังจากนวดแขนแล้วให้นวดแนวบ่าจนนิ่ม เคล็ดลับคือ ให้คนป่วยนั่ง ให้หมอนวด ยืนด้านหลัง ใช้ศอก หรือวางนิ้วโป้งคู่(ไม่ซ้อนนิ้ว) กดแล้วให้คนป่วยหันศีรษะไปฝั่งตรงข้าม เช่นกดบ่าซ้ายให้คนป่วยหันขวาไปจนสุด ทำซ้ำหลายๆครั้งบ่าจะนิ่มเร็วกว่ากดอย่างเดียว ให้ทำทั้ง2ข้าง นวดต่อไปที่แนวต้นคอ นวดจนกว่าเส้นคอนิ่ม เสร็จแล้วคลึงจุดเหนือใบหู จะพบเส้นแข็งให้คลึงจนกว่าจะนิ่ม แล้วไปนวดขมับบริเวณหางคิ้วจะพบเส้นแข็ง ให้นวดจนกว่าจะนิ่มเช่นเดียวกัน
บางคนอาจกดจุดเจ็บทั้ง2จุดเนื่องจากมีปัญหาทั้ง2อย่าง คือใช้สายตามาก หรือสายตาเอียง และบ่าตึงแข็งร่วมด้วย ก็ใช้วิธีทั้ง2อย่างในการนวด 




ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ ดูได้ที่นี่ --> Thara Thai Massage Channel
ติดตาม facebook ได้ที่ --> https://www.facebook.com/TharaMassage


Thursday, July 24, 2014

วันนี้ เราจะมาคุยเรื่อง ไมเกรนกันครับ ออกตัวก่อนว่านวดจากประสบการณ์ผมเท่านั้น บางท่านอาจนวดดีกว่าผมก็ให้ถือว่า รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามนะครับ

ไมเกรนจะว่าไป เกิดจาก3จุดด้วยกัน(ดูภาพ)
1 จุดกำด้นที่ชิดกระดูกคอ (ทั้งซ้าย-ขวา)เรียกว่า ไมเกรนแท้ เพราะมาจากเส้น อิทา-ปิงคลา ส่วนมาก ปวดข้างใดข้างหนึ่งนะครับ จะมีอาการปวดที่หัวคิ้ว ซึ่งเวลามีอาการจะปวดศีรษะมาก บางทีต้องอาเจียน ถึงจะดีขึ้น โบราณว่าเกิดจากลมจันทระกลา-สุริยะกลา เรียกว่าลมปะกัง ซึ่งถ้าลมหทัยวาตะเข้ามาระคนอาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตกและตายได้ โบราณจึงว่าเป็นเส้นสำคัญ
วิธีนวด เมื่อลมอิทา-ปิงคลาเดินตามแนวกระดูกสันหลัง ก็ต้องนวดแนวกระดูกสันหลังข้างที่เป็น โดยกดในร่องชิดกระดูกตลอดแนวเพื่อเปิดทางเดินของลม(หรือนวดตามแนวเส้น อิทา-ปิงคลาสามารถดูได้ที่youtube พิมพ์นวดเส้นประธาน10ก็ได้)โดยนวดไล่จากเอว-กำด้น และนวดนานพอสมควรประมาณ15นาที เฉพาะแนวเส้นหลัง หลังจากนั้นให้กดจุดที่กระดูกคอc7(หรือสัญญาณ5)โดยกดชิดกระดูก(ใช้นิ้วโป้งนิ้วเดียว)บังคับทิศทางไปที่กำด้นถ้ากดถูกจะ"วิ่ง"ขึ้นศีรษะกดแล้วนับในใจ10-15คาบลมหายใจทำซ้ำ3ครั้งแล้วไปกดที่กำด้นข้างที่เป็น ถ้ากดถุกจะ"วิ่ง"ขึ้นไปที่หัวคิ้ว ให้กดแล้วนับในใจ10-15คาบลมหายใจ คลายแล้วกดใหม่ทำซ้ำ3รอบหลังจากนั้น หาผ้าขนหนูคลุมศีรษะไว้ ใช้สันศอกคลึงรีดให้ทั่ว จะมีเสียงดังกรึดๆให้คลึงหรือรีดจนกว่าเสียงกรึดๆ เบาลงหรือหายไป หรือจะใช้นิ้วทั้ง4ยกเว้นนิ้วโป้ง"เคาะ"ทั่วศีรษะก็ได้
หลังจากนั้นให้นอนหงายนวด รอบห้วคิ้วบริเวณกระดูกคิ้ว และบริเวณขอบตาบนใต้คิ้ว จะพบเส้นแข็งเล็กๆให้นวดจนกว่าจะนิ่ม
แนะนำหลังการนวด ไมเกรนเป็นอาการที่เป็นเรื้อรัง ควรนวดอาทิตย์ละครั้ง สัญญาณที่บ่งบอกว่าดีขึ้นคืออาการปวดหัวที่เคยเกิดวันเว้นวันจะค่อยๆเกิดอาการห่างออกไป เป็นวันเว้น2-3วัน แนะนำให้ราดหัวด้วยน้ำเย็น(น้ำเย็นที่แช่ตู้เย็นช่องธรรมดา)ในตอนเช้าทำประมาณ1อาทิตย์อาการปวดศีรษะจะดีขึ้น ควรงดดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อคโกแล็ตและงดอาหารรสเค็ม ควรใส่แว่นกันแดดสีดำ เวลาอยู่กลางแจ้งแดดกล้า และไม่ควรอยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆ และข้อสำคัญอย่าเครียดเพราะเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคนี้
ไว้พรุ่งนี้จะคุยเรื่องไมเกรน จากเส้นที่ใช้สายตามาก และเส้นกาลทารี วันนี้สวัสดีครับ




ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ ดูได้ที่นี่ --> Thara Thai Massage Channel

ติดตาม facebook ได้ที่ --> https://www.facebook.com/TharaMassage

Wednesday, July 23, 2014


โรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด 
( โรคหลังอักเสบแองคัยโรสซิ่ง , ANKYROSING SPONDILITIS )ดัดแปลงจากเอกสารของ สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึดคืออะไร ?

โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึดเป็นกลุ่มโรคข้ออักเสบที่มีการอักเสบของกระดูกสันหลังร่วมกับมีการอักเสบของข้ออื่น ๆ ของร่างกาย เมื่อเป็นไปนาน ๆ จะมีกระดูกงอกออกมาเชื่อมกระดูกสันหลัง ข้อสะโพกให้ติดกัน เกิดความพิการตามมา


2. สาเหตุของโรคนี้คืออะไร?

สาเหตุของโรคนี้ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม


3. ผู้ใดบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคนี้?

โรคนี้พบได้ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่

พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 10-20 เท่า โดยเฉพาะช่วงอายุ 20-30 ปี


4. อาการและอาการแสดงของโรคนี้มีอะไรบ้าง?

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน

มีอาการมากในตอนเช้า และ อาการจะดีขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือได้ออกกำลังกาย

เมื่อกระดูกสันหลังอักเสบนาน ๆ จะมีหินปูนมาจับบริเวณกระดูกสันหลัง ทำให้กระดูกสันหลังเชื่อมติดกัน หลังจะแข็ง ก้มไม่ได้

ในบางรายอาจมีการเชื่อมกันของกระดูกซี่โครง ทำให้หายใจลำบาก อาจมีการอักเสบของข้ออื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก หรือ มีการอักเสบของเส้นเอ็น เช่น เส้นเอ็นร้อยหวาย เส้นเอ็นฝ่าเท้า

บางรายเมื่อเป็นนาน ๆ อาจมีอาการนอกระบบข้อ เช่น ปอดอักเสบ หรือหัวใจอักเสบได้


5. แพทย์จะให้การวินิจฉัยโรคนี้อย่างไร?

แพทย์จะอาศัยการซักประวัติร่วมกับการตรวจร่างกาย

การถ่ายภาพรังสีมีประโยชน์ในการช่วยการวินิจฉัย โดยจะพบการอักเสบและเชื่อมติดกันของข้อ โดยเฉพาะกระดูกกระเบนเหน็บ และ กระดูกสันหลัง



6. การรักษา

1. การรักษาทางยา

โดยส่วนใหญ่แพทย์จะให้ยาแก้ปวดลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เพื่อบรรเทาอาการปวด ทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวดีขึ้นและสามารถทำกายบริหารได้

ปัจจุบันได้มียาในกลุ่มใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคสงบได้ แต่มีราคาค่อนข้างแพง ผลข้างเคียงมาก ต้องรับประทานติดต่อเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่ได้รักษาโรคให้หายขาด

2. การบริหารร่างกาย

มีความสำคัญมาก นอกจากจะทำให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดีแล้ว ยังช่วยป้องกันข้อติดอีกด้วย ขณะบริหารอาจปวดมากขึ้น แต่ต้องพยายามอดทนบริหารต่อไป ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ ให้ข้อได้เคลื่อนไหว

3. ปฏิบัติตัวให้ถูกสุขลักษณะ

โดยต้องพยายามให้หลังตรงอยู่เสมอ เช่น ควรนั่งพิงพนักหลังตรง ยืนเดินให้หลังตรง

ควรนอนหงายบนพื้นแข็ง ไม่ควรนอนตะแคง และ ไม่ควรหนุนหมอนสูงเพราะทำให้คอก้มมากเกินไป

4. การผ่าตัด

เช่น ผ่าตัดใส่ข้อสะโพกเทียม ข้อเข่าเทียม ผ่าตัดกระดูกสันหลังเพื่อแก้ไขอาการหลังโก่ง


7. การดำเนินโรค

โรคนี้จะมีการดำเนินโรคอยู่นานประมาณ 10 ปี ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังเรื้อรัง เมื่อเป็นไปนาน ๆ จนกระดูกเชื่อมติดกัน อาการปวดจะลดลง แต่จะเกิดความพิการตามมา โดยเฉพาะอาการคอแหงนไม่ได้ หลังโก่ง สะโพกงอ

ซึ่งถ้าเกิดข้อติดผิดรูปขึ้นแล้วการรักษามักจะได้ผลไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นถ้าสามารถรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มแรก ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้โรคหายขาดได้ แต่ก็จะช่วยบรรเทาอาการและลดความพิการที่อาจเกิดตามมาในภายหลัง



วิธีดูแลตนเอง วิธีบริหาร ..

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=13-06-2008&group=5&gblog=17






มีผู้โพสกระทู้เกี่ยวกับโรคนี้ ... เลยขอนำมาเก็บไว้เป็นข้อมูล แบ่งกันอ่าน แล้วก็เอาไว้ติดตามกันต่อ ...

http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7400020/L7400020.html#11


ผมป่วยเป็นโรคASมา4ปีกว่าครับ ตอนนี้หายแล้ว ใครที่เป็นก็ติดต่อมาได้ ผมยินดีช่วย

ผมป่วยเป็นโรคASมา4ปีกว่าครับ ตอนนี้หายแล้ว ใครที่เป็นก็ติดต่อมาได้ ผมยินดีช่วย

ผม ชื่อไมน์ครับ เป็นโรคAS (Ankylosing Spondylitis) มาเกือบ5 ปี เป็นตั้งแต่อายุ15แต่มารู้ว่าเป็นโรคนี้ตอนเมื่อปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้รักษามาทุกที่ ยาที่เกี่ยวกับพวกแก้อักเสบ คลายกล้ามเนื้อ แก้ปวด ก็กินมาหมด รักษามาทุกทางตั้งแต่ที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ตอนแรกหมอบอกว่าเป็นเอ็นร้อยหวายอักเสบ แต่ตอนหลังมันทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากเดินเป๋แล้ว ก็ปวดเข่า ปวดหัวไหล่ หลังแข็ง แล้วก็อาการตาพร่า(ตอนที่ตาพร่าไม่รู้ว่าเกี่ยวกับโรคที่เป็น) ผมรักษาอาการที่ตาจนหาย แต่เรื่องโรคกระดูกไม่หาย ตอนแรกผมไปนวดบ่อยมาก แล้วก็ฝังเข็ม ก็ไม่หาย ไปหาหมอมากี่คนก็บอกว่าผ่าตัดไม่ได้ จนผมไปเจอคุณหมอสัตยาที่ท่าแพ คลินิก ท่านวินิจฉัยว่าอาจเป็นโรคไรเตอร์ซินโดรม เลยแนะนำไปหาคุณหมอวรวิท (โรงพยาบาลสวนดอก) ที่วรวิทคลินิคคุณหมอท่านเก่งมากครับ ผมมีโอกาสได้รู้ว่าโรคที่ผมเป็นคือโรคAS ก็เพราะท่าน เพียงแต่ผมไม่มีเงินที่จะซื้อยาที่ฉีดพวกยาอีเทอนาเซพ , พามิโดเนด ก็เลยไม่ฉีดครับ เพราะสงสารพ่อกับแม่ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเพื่อผม บังเอิญว่ามีคนแนะนำให้ผมลองกินยาสมุนไพรครับก็เลยทานดูจนตอนนี้ไม่เป็นไร เลย ไปเช็คเลือดก็ปกติดี ถ้าใครสนใจก็ติดต่อผมได้ที่เบอร์0820266947 ,0811665512หรือส่งเมลล์มาที่cadlamine@hotmail.com ครับ ถือว่าช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยครับ ผมยินดีเพราะผมก็อยากให้คนที่ทรมานแบบเดียวกับผมหายเหมือนกัน

จากคุณ : cadlamine - [ 8 ม.ค. 52 15:47:29 ]
ติดต่อกันเองนะครับ ทางThara Massage ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ

ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ ดูได้ที่นี่ --> Thara Thai Massage Channel

ติดตาม facebook ได้ที่ --> https://www.facebook.com/TharaMassage
ค้นพบศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' สลายโรคร้าย
เสียสละเวลาอ่านสัก 15-20 นาที
ใช้วิถีธรรมชาติขจัด 6 โรคร้ายใน 4 เดือน
จากหนุ่มใหญ่วัยใกล้เกษียณที่ถูกโรคร้ายรุมเร้าถึง 6 โรค ทั้งโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ตับอักเสบรุนแรง และปริมาณเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ซึ่งจากประสบการณ์ทางแพทย์ที่สั่งสมมา ทำให้เขารู้ว่า โรคร้ายเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงกินยาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น

แต่เมื่อเขานำศาสตร์ในการดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการค้นคว้าและทดลองปฏิบัติด้วยตัวเองมาใช้ ‘นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์’ กรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลราชธานี โรงพยาบาลชื่อดังของจังหวัดอยุธยา และประธานกรรมการบริหารเวลเนสซิตี้ กรุ๊ป ก็ต้องพบกับความอัศจรรย์ว่า เขาสามารถขจัดโรคร้ายทั้ง 6 โรคได้ภายในระยะเวลาแค่ 4 เดือน

• 6 โรคร้ายรุมเร้าจนต้องลุกขึ้นมาหาวิธีปฏิวัติตัวเอง

คุณหมอบุญชัยเล่าว่า ด้วยการใช้ชีวิตแบบคนเมืองที่เต็มด้วยความเร่งรีบ ความเครียดที่เกิดจากการทำงานและการกินอาหารตามความเคยชิน ส่งผลให้สุขภาพของเขาเริ่มมีปัญหา และสั่งสมเรื่อยมาจนกลายเป็นโรคร้ายถึง 6 โรคด้วยกัน

น้ำหนักของเขาขึ้นไปถึง 113 กิโลกรัม ระดับน้ำตาลในเลือดสูงถึง 294 ขณะที่ความดัน ตัวบนอยู่ที่ 170 ตัวล่าง 110 อีกทั้งไขมันในเลือดยังผิดปกติ!!

แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แม้เขาจะเป็นหมอที่ช่วยชีวิตคนไข้มามากมาย แต่เขากลับไม่สามารถรักษาโรคเหล่านี้ของตัวเองให้หายขาดได้

ในทางกลับกันโรคที่เป็นอยู่กำลังเป็นสะพานที่นำไปสู่โรคภัยที่ร้ายแรงขึ้น จุดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คุณหมอหันมาศึกษาค้นคว้า เพื่อหาทางแก้ไขและลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองอย่างจริงจัง

“ความจริงหลายๆโรคที่เป็นเนี่ยะ เราก็รู้มาก่อนอยู่แล้ว อย่างโรคอ้วน โรคเม็ดเลือดแดงมากเกินไป โรคตับอักเสบเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง แต่สาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองก็คือ เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ปี 53 ผมตรวจร่างกาย พบว่า เป็นเบาหวานและน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งโรคเบาหวานมันเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคต่างๆตามมาอีกเยอะ เช่น โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองตีบ ตาบอดเพราะเบาหวานขึ้นตา

โรคเบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงรักษาตามอาการ กินยาเพื่อรักษาระดับน้ำตาล ซึ่งต้องกินยาตลอดชีวิต แต่การกินยามากๆ จะทำให้เกิดผลข้างเคียงคือ ทำให้ตับเสื่อมและไตวาย ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมมองหาวิธีการใหม่ที่จะมีโอกาสหายจากโรคเบาหวานหลากหลายวิธีการ

วิธีการที่ผมใช้เริ่มจากพื้นฐานความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ และอาศัยความรู้หลายอย่างประกอบกัน ทั้งความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ความรู้เรื่องการเจริญของโลก ความรู้เรื่องมานุษยวิทยา ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต ซึ่งเราก็เอาหลายๆอย่างมาผสมผสานกัน เพื่อหารากเหง้าความเป็นมาว่า มนุษย์เรามีความเป็นมาอย่างไร คือคนในปัจจุบันไม่ได้ดำรงอยู่ตามธรรมชาติ เพราะเราสั่งสมวัฒนธรรมความรู้เพื่อจะทำให้เราดำรงชีวิตอย่างสะดวกสบาย ซึ่งการที่เราใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราป่วย ดังนั้น การที่เราจะหายป่วยได้ เราก็ต้องไปหาว่า การใช้ชีวิตตามธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร” นพ.บุญชัย เล่าย้อนให้ฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง

• ค้นพบศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' สลายโรคร้าย

จากการศึกษาวิเคราะห์ศาสตร์ต่างๆ ทำให้คุณหมอบุญชัยได้ข้อสรุปว่า อาหารที่คนเรานิยมบริโภคอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติและความต้องการของร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องแก้ที่ต้นเหตุคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการกินและการดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ จึงเกิดเป็นศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' ที่คุณหมอค้นพบด้วยตัวเอง

การค้นพบครั้งนี้ได้สร้างความอัศจรรย์ให้แก่วงการแพทย์อย่างยิ่ง เพราะหลังจากที่คุณหมอนำศาสตร์ดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็ปรากฏว่า โรคร้ายที่คุณหมอบุญชัยเป็นอยู่ถึง 6 โรคนั้นได้อันตรธานหายไปภายระยะเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้น

“จากการศึกษาทำให้เราพบว่า จริงๆแล้วมนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ซึ่งอยู่ในตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตระกูลเดียวกับลิง สมัยดึกดำบรรพ์เรากินผักและผลไม้เป็นหลัก ซึ่งผักผลไม้ที่เรากินจะเป็นพวกใบอ่อน ย่อยง่าย และก็กินพวกเนื้อสัตว์บ้าง กินไข่ กินดินโป่งเป็นอาหารเสริม แต่ปัจจุบันเราไม่ได้กินแบบนี้อีกแล้ว วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้อาหารการกินของเราเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเราบริโภคสิ่งที่ไม่เหมาะกับร่างกายของมนุษย์ ผมก็มานั่งคิดว่า ถ้าเราจะใช้ชีวิตตามธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ เราจะทำยังไง จะปรับได้ขนาดไหน

ผมจึงออกแบบชีวิตในปัจจุบันให้ปลอดภัยในระดับที่สามารถรักษาโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้ชีวิตในการทำงานแบบคนเมืองได้ คือต้องสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตตามกฎธรรมชาติและการใช้ชีวิตแบบคนเมือง เราก็ใช้วิธีการทดลอง ดูจากตำรา ดูจากงานวิจัย และการทดลองปฏิบัติ ทำให้ได้ข้อสรุปของวิธีดำเนินชีวิตตามกฎธรรมชาติ

สรุปออกมาเป็นข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ และสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ 5 ข้อ ซึ่งเรียกสั้นๆว่า กฎห้าม 5 ต้อง 5” นพ.บุญชัย พูดถึงศาสตร์การคืนสู่วิถีธรรมชาติที่เขาค้นพบ

• มหัศจรรย์แห่งวิถีธรรมชาติ
โรคร้ายหายเป็นปลิดทิ้ง

หลังจากที่คุณหมอบุญชัยปฏิบัติตามกฎ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' เขาก็พบกับความมหัศจรรย์แห่งวิถีธรรมชาติ เพราะสุขภาพของเขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และโรคร้ายที่เป็นอยู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง

“ผมเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตมาตั้งแต่ปี 2553 ถึงตอนนี้ก็ 2 ปีกว่าแล้ว ซึ่งหลังจากเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตแค่เดือนก็เห็นผลแล้ว พอถึงเดือนที่ 4ปรากฎว่า 6 โรคที่เป็นหายหมดเลย ยกเว้นไขมันในหลอดเลือดยังลดลงไม่ถึงระดับ คือโรคอ้วนก็หาย จากเดิมน้ำหนัก 114 กก. ลดลงเหลือ 89 กก. น้ำหนักผมลดลงไป 25 กก.

ตอนนี้โรคต่างๆหายหมดแล้ว เบาหวานก็หาย น้ำตาลในเลือดที่เคยขึ้นไปถึง 294 ปัจจุบันเหลือ 90 มันลดลงเอง ไม่ต้องใช้ยาเลย ความดันผมลดลงจาก ตัวบน 170 เหลือ 105 ตัวล่างจาก 110 เหลือ 70 เส้นเลือดที่เคยแข็ง เส้นเลือดที่อุดตัน ก็เปลี่ยนเป็นเหนียว ยืดหยุ่นดี

คือมันเป็นวิธีที่ง่ายมากๆ เหมือนเส้นผมบังภูเขา แต่เรามองไม่ออก คือการใช้ยานอกจากจะแค่รักษาตามอาการ ไม่หายขาดแล้ว ยังมีผลข้างเคียงด้วย แล้วถ้าใช้ยาเราก็จะไม่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต เพราะเราคิดว่ายาช่วยเราได้ คืออวัยวะที่มันเสื่อมไปเนี่ยะมันฟื้นไม่ได้

อย่างเช่นโรคเบาหวาน เกิดขึ้นเพราะตับอ่อนเสื่อมจึงผลิตอินซูลินได้ไม่ดี แต่ร่างกายต้องใช้อินซูลินในการควบคุมน้ำตาล เมื่อผลิตอินซูลินได้น้อยน้ำตาลในเลือดก็ขึ้น พอเราปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ร่างกายดีขึ้น ตับอ่อนฟื้นตัวขึ้นก็ผลิตอินซูลินได้ดี เมื่อมีอินซูลินมาควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด น้ำตาลในเลือดก็ลดลงโดยไม่ต้องใช้ยาเลย” นพ.บุญชัย กล่าวถึงชีวิตใหม่ที่เขาได้รับหลังจากกลับมาสู่วิถีธรรมชาติ

• เดินหน้าเผยแพร่แนวคิดพิชิตโรค

เมื่อค้นพบวิธีที่สามารถทำให้หายจากโรคร้าย ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งนอกจากจะเป็นวิธีที่ง่าย และประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเห็นผลอย่างรวดเร็ว

ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นหมอที่อยากเห็นคนไข้หายป่วยและกลับมามีสุขภาพที่ดี คุณหมอบุญชัยจึงตั้งใจที่จะเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวให้แก่คนไข้และบุคคลทั่วไป ทั้งโดยการบรรยายให้แก่หน่วยงานและโรงพยาบาลต่างๆ และการเขียนหนังสือเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้แบบง่ายให้ผู้ที่สนใจนำไปปฏิบัติ

“ปกติผมจะมีคอร์สบรรยายเรื่องการรักษาโรคโดยไม่ต้องใช้ยา แต่ใช้วิธีปรับการใช้ชีวิต ผมจัดเป็นหลักสูตร แล้วก็เอาหลักสูตรที่ได้มาเขียนลงหนังสือ เอาความรู้ที่ได้มาสอนคนอื่นต่อ ก็มีองค์กรใหญ่ๆติดต่อเข้ามาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารออมสิน การประปานครหลวง บริษัทปูนซิเมนไทย บริษัทการบินไทย ผมอบรมไปเกือบหมื่นคนแล้ว ผมไปบรรยายตามโรงพยาบาลที่ต้องการให้จำนวนคนไข้ลดลง เช่น ที่โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี

คนไข้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของผมแล้วมีเยอะมาก คือถ้าปฏิบัติจริงจังต้องเห็นผลทุกราย จากสถิติคนที่ผ่านการอบรมในคอร์สของผมเนี่ย สามารถปฏิบัติอย่างจริงจังและได้ผลเต็มที่ประมาณ 30 % ปฏิบัติได้พอประมาณและได้ผลดี ประมาณ 40% ส่วนที่เหลืออีก 30% ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เลยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร คือหลักสูตรของผมนั้นไม่ใช่ว่าเอายาลูกกลอนไปกิน 10 หม้อแล้วหาย แต่มันคือหลักสูตรการเปลี่ยนชีวิตคน” นพ.บุญชัยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

• ขอเพียงมีศรัทธาต่อชีวิต โรคร้ายก็หายได้

คุณหมอบุญชัยยังได้กล่าวตบท้ายให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยทุกคนว่า ขอเพียงมีศรัทธาก็สามารถหายจากโรคร้ายและกลับมามีชีวิตใหม่ได้แน่นอน

“ถ้าไม่เป็นโรค เราก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ผมโชคดีที่ผมเป็นโรคที่เราวัดได้ว่าเปลี่ยนแปลงตัวเอง 10 ข้อแล้วเห็นผล มันก็เกิดกำลังใจ เกิดการเรียนรู้ เกิดการค้นคว้าจนได้คำตอบ

ผมจึงอยากให้ผู้ป่วยทุกคนมีศรัทธาต่อชีวิต มีความหวัง โรคทุกโรคเนี่ยะถ้าเรามีความเชื่อว่าเราจะหาย มีพลัง มีความมุ่งมั่น เราก็มีโอกาสหาย และถ้าเราปฏิบัติตามวิธีที่ถูกต้องเราก็สามารถหายได้

เพราะว่าร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางธรรมชาติที่วิเศษที่สุด เพราะมันฟื้นฟูตัวเองได้ มันแก้ไขอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตัวเอง ขอเพียงแต่อย่าเอาจิตเราไปขวางมัน เราเพียงแต่เติมเต็มสิ่งที่จะเสริมสร้างร่างกายเรา เช่น อาหาร น้ำ อากาศ อย่างถูกต้อง พวกนี้ก็จะเป็นวัตถุดิบที่จะไปสร้างร่างกายเรา ขบวนการซ่อมตัวเองจะเกิดขึ้น”

• ข้อห้ามปฏิบัติ 5 ข้อ

1. ห้ามจินตนาการเชิงลบ เนื่องจากจิตใต้สำนึกเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ดังนั้น ไม่ว่าคิดบวกหรือคิดลบก็ล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราจินตนาการเชิงลบจะก่อให้เกิดความเครียด อารมณ์ร้าย ซึ่งจะเป็นผลลบต่อร่างกาย

2. ห้ามอ้วน เนื่องจากความอ้วนเป็นบ่อเกิดแห่งโรค ซึ่งเราจะพบว่า คนสมัยก่อนนั้นใช้ชีวิตตามป่าเขา หากินตามวิถีธรรมชาติ มีโอกาสได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงไม่อ้วนเหมือนผู้คนในปัจจุบัน ทำให้คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรค

3. ห้ามรับประทานน้ำตาล รวมถึงขนมและอาหารที่ใส่น้ำตาล เนื่องจากความจริงแล้วอาหารที่เราได้จากธรรมชาตินั้นมีแป้งและน้ำตาลอยู่แล้ว ซึ่งน้ำตาลตามธรรมชาตินั้นมีสัดส่วนที่พอดีและเหมาะกับร่างกาย แต่ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ติดหวาน เพราะเคยชินกับการเติมน้ำตาลในอาหารมาก จึงทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา

4. ห้ามรับประทาน Trans Fat หรือไขมันที่ผ่านความร้อน เพราะเมื่อไขมันผ่านความร้อน ไอน้ำในอากาศจะแตกตัว ทำให้ไฮโดรเจนในโมเลกุลของไอน้ำเข้าไปฝังตัวอยู่ในคาร์บอนของไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัวและดึงไขมันอิ่มตัวขึ้นมา ซึ่งไขมันอิ่มตัวนี้เรียกว่า Trans Fat มักอยู่ในของทอด โดยคนที่กินอาหารทอดมากๆ มักเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

5. ห้ามรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หมู วัว แพะ แกะ ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่ เนื่องจากหากศึกษาจากโครงสร้างจะพบว่ามนุษย์เป็นสัตว์กินพืช โดยฟันของมนุษย์เป็นฟันแบบตัดซึ่งเหมาะกับการบดเคี้ยวพืช แต่เนื้อสัตว์ใหญ่จะมีลักษณะเหนียวเกินกว่าฟันมนุษย์จะบดเคี้ยวได้

นอกจากนั้น ลำไส้ของมนุษย์ยังมีลักษณะยาวมาก ทำให้เนื้อที่เหนียวและต้องใช้เวลาย่อยหลายวันไปเน่าอยู่ในลำไส้ จึงเกิดเชื้อแบคทีเรียและสารพิษตามมา

• ข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ

1. เน้นการกินพืชผักผลไม้ ซึ่งเป็นอาหารตามวิถีดั่งเดิมของมนุษย์ ในปริมาณครึ่งหนึ่งในแต่ละมื้ออาหาร โดยเน้นผักผลไม้ที่ไม่หวานจัด และไม่ผ่านความร้อนหรือการปรุงสุก เนื่องความร้อนจะไปทำลายวิตามิน เอนไซม์ และสารต่างๆที่มีลักษณะเป็นยา หากทำได้ทุกมื้อก็จะเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ

2. กินข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีและยังมีจมูกข้าวเหลืออยู่ เพราะจะทำให้ได้สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรลดปริมาณข้าวและคาร์โบไฮเดตลงตามลำดับ เนื่องจากจริงๆข้าวและคาร์โบไฮเดตไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แต่วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้เราหันมาบริโภคข้าวและคาร์โบไฮเดตจนเกิดความเคยชิน และกลายเป็นการบริโภคเกินความจำเป็น

3. ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง โดยออกกำลังกายในระดับที่เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง ได้หอบหายใจ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายขับพิษออกหลายๆทาง ระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองจะทำงาน ซึ่งระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองนั้นเป็นระบบป้องกันโรคที่สำคัญของมนุษย์

นอกจากนั้น ขณะที่หอบหายใจนั้น ร่างกายจะเอาอากาศออกจากปอดได้ทั้งหมด ทำให้อากาศที่อยู่ในปอดสะอาดและมีปริมาณออกซิเจนสูง

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงการนอนหลับที่ดีที่สุดคือช่วง 22.00-02.00 น. เนื่องจากช่วงดังกล่าวร่างกายจะผลิตเมลาโพนินฮอร์โมนออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เราง่วง พอหลับสนิทร่างกายก็จะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เด็กเจริญเติบโต ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เกิดการซ่อมสร้างในเวลาที่รวดเร็ว

5. การมีจินตนาการเชิงบวก คือการจะให้ร่างการมีสุขภาพดี เราจะต้องมีจินตนาการเชิงบวกต่อสุขภาพ ทำให้ชีวิตเรามีความสุข สุขภาพดี แข็งแรง ร่างกายจะเป็นไปตามที่เราคิด ถ้าเราเครียดร่างกายเราก็จะอ่อนแอ จิตใต้สำนึกมันส่งผลต่อร่างกาย




ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ ดูได้ที่นี่ --> Thara Thai Massage Channel

ติดตาม facebook ได้ที่ --> https://www.facebook.com/TharaMassage

Tuesday, July 22, 2014

วันนี้ สอนให้สังเกตุ อิริยาบททำให้เกิดโรคอีกอย่างหนึ่งครับ

มีวันหนึ่ง คนไข้เป็นผู้หญิง อายุ30เศษ มีอาชีพเป็นอาจารย์สอนมหาลัย มาหาผมด้วยอาการหลังชา บอกว่านั่งหรือยืน ก็รู้สึกชาแทบตลอดเวลา ผมถามว่าปวดร่วมด้วยมั้ย เขาบอกไม่มีชาอย่างเดียว ไปนวดมาหายวันเดียวก็เป็นอีก นวดมาหลายที่ก็เหมือนเดิม ผมบอกเดี๋ยวผมนวดดูก่อน (แต่จริงๆ แล้วผมพอจะรู้แล้วว่าเกิด จากอะไร เพราะผมเป็นมาก่อน) พอนวดได้สักครู่ ผมถามว่า ชอบนอนคว่ำแล้วแอ่นหลังอ่านหนังสือหรือเปล่า เธอหันหน้ามองผมทันที แล้วถามว่า "รู้ได้ไง?" ผมถามว่าทำแทบทุกวันใช่มั้ย?เธอตอบว่าใช่ ผมบอกว่าผมก็เคยทำ แล้วต่อมาหลังผมก็มีอาการชาเหมือนคุณ ถ้าคุณเลิกทำก็หาย หลังนวดเสร็จเธอนัดนวดอีกหนึ่งอาทิตย์ พอถึงวันนัด เธอมานวดแล้วบอกว่าอาการชาหลังหายสนิท ไม่น่าเชื่อเลย และไม่รู้ว่าตัวเองทำให้เป็น อยากให้หมอนวดไว้เป็นประสบการณ์ครับ(สาเหตุ หลังชา อิริยาบทเป็นแค่สาเหตุหนึ่ง ในหลายสาเหตุ ฉะนั้นค่อยๆวิเคราะห์ไปครับ อาจเป็นจากสาเหตุอื่นก็ได้)



ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ ดูได้ที่นี่ --> Thara Thai Massage Channel

ติดตาม facebook ได้ที่ --> https://www.facebook.com/TharaMassage

Monday, July 21, 2014

วันนี้เราจะมาให้ความรู้เรื่องอาการปวดนิ้วโป้งที่เกิดจากการนวดกันครับ 

ก่อนอื่น ต้องขอบคุณมากที่มีคำถามมามากมาย เท่าที่อ่านดูกว่า80%นวดแล้วอาการดีขึ้นได้ แต่ที่นวดแล้วมักกลับมาเป็นอีก เป็นเพราะกลับไปทำอิริยาบทเหมือนเดิมอีก ก็ทำให้กลับมาเป็นอีก หรืออีกอย่างหมอนวดอาจไม่ได้แนะนำท่ากายบริหารหลังการนวด ซึ่งมีส่วนสำคัญมาก เพราะเวลาร่างกายเกิดความผิดปกติกายบริหารจะช่วยยืดข้อต่อ หรือพังผืดให้แยกจากกันก็จะทำให้เลือด-ลมไหลเวียนไปได้อาการป่วยก็หาย เช่นผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับมือ จนถึงสบัก คอ บ่าไหล่ หลังนวดแล้วให้คนไข้กายบริหารโดยการ ท่าเตรียม ยืนตัวตรง ให้ขาชิดกัน เอามือทั้งสองข้างแนบลำตัว กระโดดเอามือตบกันเหนือศีรษะพร้อมกับแยกขาออกจากกัน กระโดดอีกครั้งกลับมาอยู่ในท่าเตรียม ทำประมาณ50ครั้งวันละ2รอบให้มีวินัยกับตัวเองใหม่ๆจะปวดตามนิ้วมือจนถึงสบักมาก ให้ทำทุกวันภายใน2อาทิตย์ อาการป่วยจะดีขึ้นมาก เอาละครับเข้าเรื่องกัน

อาการปวดนิ้วโป้งที่เกิดจากการทำงานนวด ใครไม่เป็นไม่รู้หรอกว่ามันทรมานขนาดไหน บางคนถึงกับมีอาการเขียวที่เนินกล้ามเนื้อนิ้วโป้ง ทำให้เวลานวดแทบใช้นิ้วโป้งไม่ได้เลย ปล่อยไว้ลามไปที่ศอกจนถึงรักแร้ จนบางคนทำงานไม่ได้ สาเหตุเกิดจากการขังของเลือด-ลมที่บริเวณเนินกล้ามเนื้อนิ้วโป้ง วิธีนวดไม่ยากเลยครับ มาดูกัน


1 ให้หงายฝ่ามือขึ้น ค่อยๆกดหาจุดที่แข็ง บนเนินนิ้วโป้ง(ใกล้ข้อมือ)ตรงนี้เจ็บมากห้ามบดหรือขยี้ เมื่อเจอจุดเจ็บให้ใช้นิ้วโป้งกดนิ่งๆนับในใจ1-20กดซ้ำนานๆประมาณ10นาทีหรือจุดเจ็บที่แข็งนิ่มลง
2 ให้คว่ำมือนวดนวดรอบข้อมือนิ้วโป้งเทคนิคคือเน้นที่บริเวณข้อต่อนิ้วใกล้ข้อมือ เพราะต้องการไล่เลือด-ลมบริเวณนี้ นวดนานๆครับสัก10นาทีก็ได้ตรงนี้นวดจะรู้สึกสบาย หลังจากนั้นค่อยๆไล่เส้นจากนิ้วโป้งเฉียงขึ้นไปที่ข้อศอกด้านนอก ค่อยๆกดนวดหาเส้นที่แข็งใกล้ข้อศอก ให้นวดจนกว่าจะนิ่ม
3 เคล็ดลับ การแก้อาการคือ ต้องดึงข้อนิ้วให้ลั่นที่บริเวณข้อแรกของนิ้วโป้งใกล้กับข้อมือ ถ้าลั่นข้อนี้อาการปวดหายทันที โดยการให้หมอนวดจับมือคนไข้ คว่ำฝ่ามือลง หาผ้าวางบนนิ้วโป้งบางๆ (กันลื่น) ให้หมอนวดเอาฝ่าเท้าหมอนวดทั้งสองข้าง"หนีบศอก"คนไข้ไว้ ให้แน่น ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางหนีบนิ้วโป้งคนไข้ไว้ค่อยๆโยกนิ้วไป-มาเบาๆ รอจนเผลอ แล้วกระตุกแรงๆและเร็วๆ ถ้านวดตามข้อ1-2นานๆการกระตุกจะลั่นทันที ถ้าไม่ลั่นให้ทำตามข้อ1-3ซ้ำอีกที ถ้าไม่ลั่นนวดใหม่วันถัดไป สักวันสองวันก็ลั่นครับ แล้วหลังจากหายแล้วให้ดึงข้อมือแบบนี้บ่อยๆ จะไม่กลับมาเป็นอีก ส่วนคำถามอื่นๆจะทยอยเอามาตอบวันถัดไปครับ




ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ ดูได้ที่นี่ --> Thara Thai Massage Channel

ติดตาม facebook ได้ที่ --> https://www.facebook.com/TharaMassage

Saturday, July 19, 2014

วันนี้เรามาให้ความรู้ เรื่องอาการปวดไหล่กันครับ เพราะเห็นว่าคนเป็นกันมาก ถ้ารู้สาเหตุการนวดอาจไม่ยากอย่างที่คิดกันครับ เรามาดูคำถามกันครับ

@Pretty Hongi
สวัสดีค่ะ อาจารย์สุวัฒน์ ที่นับถือ
หนูขอแนะนำตัวค่ะ ชื่อน้องหงส์ค่ะ ตอนนี้อยู่ที่ประเทศอังการีค่ะ มีร้านนวดเป็นของตัวเองที่นี่ค่ะ น้องเห็นเฟสของอาจารย์แล้วศึกษาดู มีประโยชน์มากเลยค่ะ ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะที่กรุณานำเกร็ดความรู้ดีดีมาเผยแพร่
อาจารย์คะ น้องมีคำถามอยากขอปรึกษาว่า มีลุกค้ามานวดที่ร้านแล้วเจ็บตรงหัวไหล่ลงมาตามแขนด้านนอก เจ็บมาได้ประมาณสองเดือนแล้ว นวดอย่างไรก็ไม่หายเจ็บ (ลูกค้าบอกว่าเจ็บจนนอนไม่ได้เลย) ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยแนะนำวิธีนวดให้คลายจากอาการปวดด้วยค่ะ





ตอบ ก่อนอื่นอยากให้ตรวจอาการก่อนนวดสักเล็กน้อยนะครับวิธีการตรวจมีดังนี้


1.ให้คนไข้นั่ง ค่อยๆให้แหงนคอมองเพดานให้คอตั้งฉาก ถ้ามีอาการร้าวหรือปวดลงหัวไหล่ ก็เป็นหมอนรองกระดูกคอทับเส้น ถ้าร้าวลงแขนด้านนอก ก็มักจะเป็นข้อที่5-6 ถ้าเป็นมากโหนกแก้มข้างที่เป็นจะเล็กกว่าข้างที่ไม่เป็น หรือให้ยื่นแขนทั้ง2ข้างไปข้างหน้าให้หมอนวดค่อยๆกดศอกลงให้คนไข้ต้านไว้ข้างที่เป็นจะไม่มีแรงต้าน


2.อาจเป็นจากเส้นประสาทคอ แต่ไม่ถึงกับทับเส้น ก็ให้หมอนวดคลำบริเวณคอทั้ง2ข้างข้างที่เป็นจะบวมก็ทำให้มีอาการปวดไหล่ลงแขนด้านนอกได้เหมือนกัน


3.อาจเป็นจากสบักใน เกิดอาการจม(ดูในเพจ ยอกสบัก)ก็ทำให้ปวดไปที่ไหล่ได้เหมือนกัน
ถ้าเป็นข้อ1 ควรให้ไปพบแพทย์ ถ้าแพทย์บอกให้กายภาพบำบัด ก็สามารถนวดร่วมกับกายภาพได้




วิธีนวดมีดังนี้(สามารถนวดได้ทั้ง3สาเหตุ เพียงแต่ถ้าเกิดที่ใดให้เน้นที่นั้นเช่นเกิดที่คอเน้นที่คอ)

1.นวดจากฝ่ามือขึ้นไป โดยกดที่ใจมือ แล้วใช้นิ้วโป้งรีดเส้นบนฝ่ามือ นวดให้ทั่วฝ่ามือ


2.ใช้นิ้วโป้งกดกลางข้อมือด้านใน แล้วกรีดเส้นเอ็นไปทางนิ้วก้อย และนิ้วหัวแม่มือ กดนวดในร่องกล้ามเนื้อตลอดแขนด้านใน(ช่วงจากพับศอกลงมา)พยายามหาเส้นที่แข็งให้กดนวดจนนิ่มลง แล้วนวดแขนด้านนอก(จากพับศอกลงมา)ใหนวดจนนิ่มเช่นเดียวกัน


3.นวดด้านในของท่อนแขนด้านบน ใช้นิ้วโป้งกดใกล้บริเวณรักแร้ ถ้าพบพบเส้นที่เรียกว่าบวม บางคนนวมขนาดเล็กกว่านิ้วก้อยนิดเดียว ให้กดข้างเส้นแข็งแล้วดันเส้นที่บวมขึ้น ให้นวดนานๆจนกว่าเส้นที่แข็งหรือบวมเล็กลง แล้วนวดแขนด้านนอกทั้งหมด


4.ให้นอนตะแคง ให้หมอนวดนั่งข้าง ยกแขนขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งกดเข้าไปใกล้ขอบรักแร้ด้านใน ห้ามกดเข้าไปในรักแร้โดยตรงเพราะมีต่อมน้ำเหลืองอาจเป็นอันตรายได้ หาเส้นที่แข็งในรักแร้ หรือถามคนไข้ว่ากดถูกหรือไม่ ไม่ต้องกดแรงนะครับถ้าถูกแล้วกดนิ่งๆที่เส้นแล้วค่อยขยับเส้นไป-มา ใหม่ๆเจ็บมาก ให้นวดจนกว่าหายเจ็บหรือเจ็บน้อยลงมาก


5.นวดแนวขอบสบักทั้งด้านนอกและใน (โดยเฉพาะขอบสบักนอกให้ใช้นิ้วโป้งวางที่ขอบสบักแล้วใช้อุ้งมือกดลงบนนิ้วโป้งที่วางกดออกนอกสบัก) โดยเฉพาะที่ขอบสบักใกล้กับบ่า จะพบเส้นยาวไปที่กระดูกคอC7-T1(ที่สัญญาณ4และ5หลัง) พยายามรีดเส้น ตรงนี้ใช้เวลานานนิดนึงเพราะถ้าเป็นมานานจะเป็นพังผืดหนาตัวบริเวณนี้มาก(อาจใช้ลูกประคบ ประคบหลังนวดก็ดีไม่น้อย) และให้กดสบักในโดยให้คนไข้ยกแขนวางไว้บนศีรษะ ใช้นิ้วกดร่องข้างสบัก


6.นวดแนวบ่า เน้นส่วนที่ใกล้กับคอให้มากเป็นพิเศษ 


7.นวดคอ โดยเน้นเส้นด้านหลังคอและข้างคอ หน้าติ่งหูให้ใช้นิ้วโป้งค่อยๆกดรีดเส้นที่บวมนวดจนกว่าจะนิ่ม 


8.นวดรอบๆหัวไหล่ ค่อยๆใช้นิ้วโป้งแกะเส้นรอบๆหัวไหล่ ถ้าพบเส้นแข็งใหนวดจนกว่าจะนิ่ม อาจใช้ศอกกดนวดเส้นแขนด้านนอกโดยถามคนไข้ว่าปวดเส้นใดให้นวดจนกว่าอาการดีขึ้น
เพียงเท่านี้ คนไข้ก็จะมีอาการดีขึ้น


คลิ๊กดูวีดีโอ --> นวดบรรเทาอาการปวดร้าว หมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท

ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ ดูได้ที่นี่ --> Thara Thai Massage Channel

ติดตาม facebook ได้ที่ --> https://www.facebook.com/TharaMassage
*ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Friday, July 18, 2014

วันนี้ เรามาให้ความรู้เรื่อง”น้ำในหูไม่เท่ากัน” ซึ่งมีคนเป็นกันมาก การนวดช่วยบรรเทาได้พอสมควร แต่ก่อนนวด ควรวิเคราะห์สาเหตุสักเล็กน้อยก่อนนวด

ผู้ป่วย”น้ำในหูไม่เท่ากัน”จะมีอาการจะเวียนศีรษะเป็นอย่างมาก บางคนเดินไม่ได้เลยจะล้ม บางคนเป็นไม่มากแต่หันคออย่างกระทันหันไม่ได้ จะมีอาการบ้านหมุนทันที




สาเหตุ
1.พักผ่อนไม่เพียงพอ เช่นนอนน้อยเกินไปทำให้มีอาการ”หาว”บ่อยมาก จนลมออกหูบ่อยๆ ทำให้หินปูนในหูชั้นในเกิดการเคลื่อน ทำให้ความดันของน้ำไม่เท่ากัน สังเกตุ ตา ข้างที่เป็นเลนซ์ตาดำจะแกว่งไปมาอย่างรวดเร็วขณะที่มีอาการ
2.หูเป็นสัญญลักษณ์ของไต อาจเกิดจากการกินอาหารรสจัดเช่นเค็มจัด ทำให้ไตบกพร่องส่งสัญญาณมาที่หู
3.อาจเกิดจากเลือด-ลมเกิดการ”อั้น”ที่บริเวณคอ(เส้นประสาท)เนื่องจากการนั่งทำงานนานๆ หรือใช้แขนเป็นเวลานานๆเช่นครูต้องเขียนบนกระดาน หรือทำงานออฟฟิศที่ต้องอยู่กับคอมพ์ตลอด ซึ่งต้องก้มหน้าตลอดทำให้กล้ามเนื้อคอเกิดอาการเกร็ง ถ้าเป็นจากตรงนี้คลำที่คอจะมีอาการบวมเป็นลำกว่าอีกข้าง(คลำทั้งสองข้าง) ฉะนั้นก่อนการนวด ควรตรวจหรือคลำที่คอ บ่าไหล่ร่วมว่ามีอาการแข็งหรือไม่และถามกิจกรรมที่ทำเช่น ถ้าเกิดจากใช้แขนมากควรเน้นที่แขน ถ้าเป็นที่คอควรเน้นที่คอ





วิธีนวด (คลิ๊กดูvdo --> การแก้อาการน้ำในหูไม่เท่ากัน
1.นวดจากฝ่ามือขึ้นไป โดยกดที่ใจมือ แล้วใช้นิ้วโป้งรีดเส้นบนฝ่ามือ โดยรีดไปตามแนวนิ้วที่ปวดหรืออาจกดนิ่งๆตรงเส้นที่ปวดก็ได้ ให้นวดจนกว่าอาการเจ็บลดลง
2.ใช้นิ้วโป้งกดกลางข้อมือ แล้วกรีดเส้นเอ็นไปทางนิ้วก้อย และนิ้วหัวแม่มือ กดนวดในร่องกล้ามเนื้อตลอดแขนด้านใน(ช่วงจากพับศอกลงมา)พยายามหาเส้นที่แข็งให้กดนวดจนนิ่มลง แล้วนวดแขนด้านนอก(จากพับศอกลงมา)ใหนวดจนนิ่มเช่นเดียวกัน
3.นวดด้านในของท่อนแขนด้านบน ใช้นิ้วโป้งกดใกล้บริเวณรักแร้ จะพบเส้นที่เรียกว่าบวมก็ได้(ตรงนี้แหละครับที่ว่าปวดมาถึงรักแร้) บางคนนวมขนาดเล็กกว่านิ้วก้อยนิดเดียว ให้กดข้างเส้นแข็งแล้วดันเส้นที่บวมขึ้น ให้นวดนานๆจนกว่าเส้นที่แข็งหรือบวมเล็กลง (ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเส้นไม่นิ่มบ่าที่แข็งเป็นก้อนก็จะไม่เล็กลง ในทางกลับกันถ้าเส้นนี้นิ่ม บ่าที่เป็นก้อนก็จะนิ่มลงทันที)
4.ให้นอนตะแคง ให้หมอนวดนั่งข้าง ยกแขนขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งกดเข้าไปใกล้ขอบรักแร้ด้านใน ห้ามกดเข้าไปในรักแร้โดยตรงเพราะมีต่อมน้ำเหลืองอาจเป็นอันตรายได้ หาเส้นที่แข็งในรักแร้ หรือถามคนไข้ว่ากดถูกหรือไม่ ไม่ต้องกดแรงนะครับถ้าถูกแล้วกดนิ่งๆที่เส้นแล้วค่อยขยับเส้นไป-มา ใหม่ๆเจ็บมาก ให้นวดจนกว่าหายเจ็บหรือเจ็บน้อยลงมาก
5.นวดแนวขอบสบักทั้งด้านนอกและใน โดยเน้นที่ขอบสบักใกล้กับบ่า ตรงนี้ใช้เวลานานนิดนึงเพราะถ้าเป็นมานานจะเป็นพังผืดหนาตัวบริเวณนี้มาก(อาจใช้ลูกประคบ ประคบหลังนวดก็ดีไม่น้อย)
6.นวดแนวบ่า เน้นส่วนที่ใกล้กับคอให้มากเป็นพิเศษ เพราะเส้นนี้ดึงให้ปวดขึ้นศีรษะ ถ้าพบก้อน(ตอนนี้ก้อนจะเล็กลงแล้ว)ใหนวดจนก้อนนี้เรียบ
7.นวดคอ โดยเน้นเส้นด้านหลังคอและคอด้านหน้าติ่งหูโดยใช้นิ้วโป้งรีดจนกว่าเส้นเรียบให้นวดจนกว่าจะนิ่ม แล้วกดฐานกระโหลกศีรษะด้านหลัง(จุดใต้ไรผม)หรือแนวกำด้นโดยจุดใดถ้ากดแล้วเจ็บให้เน้นจุดนั้น กด-ปล่อย ทำซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายเจ็บ
8.ให้ใช้นิ้วทั้ง4ยกเว้นนิ้วโป้ง เคาะให้ทั่วศีรษะ เวลาเคาะให้เคาะแรงพอรู้สึกเจ็บเล็กน้อย เน้นหน้าหูและหลังหูนานๆเพราะต้องการไล่”ลม”ในหูประมาณ15-20นาที
กรณีที่เกิดจากการใช้แขนเน้นข้อ1-4 เกิดจากคอเน้น5-7 ส่วนข้อ8ทำทุกกรณี
คำแนะนำหลังการนวด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ งดอาหารรสจัด ถ้าเกิดจากคอมพ์ ควรพัก5-10นาทีทุกชั่วโมงเพื่อยืดเส้นสายบ้าง


ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ ดูได้ที่นี่ --> Thara Thai Massage Channel

ติดตาม facebook ได้ที่ --> https://www.facebook.com/TharaMassage




ลักษณะการนวดแผนไทย

"การนวดแผนไทย" เป็นศาสตร์มหัศจรรย์ โดยมูลเหตุสำคัญมาจากสภาพแวดล้อม
และวิถีชีวิตวัฒนธรรมของคนไทย รวมถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คนในสมัย
โบราณ "การนวดแผนไทย" ไม่ใช่เพื่อรักษาความเจ็บปวดเท่านั้น แต่มีคุณค่าต่อสุขภาพเป็น
กระบวนการดูแลสุขภาพ และรักษาโรค โดยอาศัยการสัมผัสอย่างมีศิลปะ มีหลักการระหว่าง
ผู้ให้บริการ และรับบริการ การนวดจะส่งผลโดยตรงต่อร่างกายและจิตใจ

ลักษณะการนวด
1. การนวดยืด ดัด ลักษณะการนวดแบบนี้คือ การยืด ดัดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น พังผืด ให้ยืดคลาย
2. การนวดแบบจับเส้น ลักษณะการนวดคือ การใช้น้ำหนักกดลงตลอดลำเส้นไปตามอวัยวะต่าง ๆ
การนวดชนิดนี้ต้องอาศัยความเชื่ยวชาญของผู้นวด ซึ่งได้ทำการนวดมานานและ สังเกตปฏิกิริยา
ของแรงกดที่แล่นไปตามอวัยวะต่าง ๆ
3. การนวดแบบกดจุด ลักษณะ การนวดคือ การใช้น้ำหนักกดลงไปบนจุดของร่างกาย การนวดนี้
เกิดจากประสบการณ์ และความเชื่อว่าอวัยวะของร่างกายมีแนวสะท้อนอยู่บนส่วนต่าง ๆ และเรา
สามารถกระตุ้นการทำงานของอวัยวะนั้นโดยการกระตุ้นจุดสะท้อนที่อยู่ บนส่วนต่าง ๆ บนร่างกาย

การนวดแผนไทย มีลักษณะ 2 แบบ คือ

1. นวดแบบราชสำนัก คือ หมอนวดจะใช้เฉพาะมือ นิ้วหัวแม่มือ และปลายนิ้วอื่น ๆ ในการนวด
เท่านั้น และไม่ใช้การนวดคลึงในขณะกด (นวด) ไม่ใช้การดัด หรือการงอข้อ หลัง หรือส่วนต่าง ๆ
ของร่างกายด้วยกำลังแรง และกริยาการนวดจะดูเรียบร้อยกว่าการนวดแบบเชลยศักดิ์
2. นวดแบบเชลยศักดิ์ คือ หมอนวดจะใช้ฝ่ามือ นิ้วมือ ศอก หรือเข่า ในการนวด และจะใกล้ชิด
กับผู้ถูกนวดมากกว่า มีการยืด ดัด

ผู้ให้บริการมีความประสงค์ช่วยบำบัดรักษาผู้ที่มีอาการเจ็บปวด
เนื่องจากการทำงาน หรือจากปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิด
การเมื่อยล้าในจุดต่าง ๆ ตามร่างกาย ผู้ให้บริการใช้การผสมผสาน
ระหว่างการนวดแบบราชสำนัก และแบบเชลยศักดิ์ควบคู่กัน


ด้วยความปรารถนาดี อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่
สงสัยเรื่องต่างๆสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 089-191-1664
วีดีโออื่นๆ ดูได้ที่นี่ --> Thara Thai Massage Channel

ติดตาม facebook ได้ที่ --> https://www.facebook.com/TharaMassage




เรื่องของนิ่ว
ความอ้วนให้ผลร้ายอีกแล้ว เมื่อนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในสหรัฐ สำรวจพบว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ.1994 เป็นต้นมา ชาวมะกัน 1 ใน 11 เป็นโรคนิ่วในไต ทว่าสถิติก่อน ค.ศ.1994 พบคนมะกันป่วยนิ่วในไต ที่ 1 ใน 20 จึงแสดงให้เห็นว่า อัตราการป่วยโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว และเมื่อทำการวิจัยหาสาเหตุยังทำให้เชื่อว่า โรคอ้วน ส่งผลให้เกิดก้อนนิ่วในไต

เมื่อดูประวัติของคนเป็นนิ่วในไต ร้อยละ 50 พบว่า กลุ่มคนเหล่านี้เป็นโรคอ้วนอยู่เดิมแล้ว แต่ก็ยังพบว่าเป็นโรคเบาหวาน โรคเกาต์ ได้บ้าง

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะจากนิวยอร์ก มีความเห็นว่า โรคอ้วนมีส่วนให้เกิดนิ่วในไตได้ เนื่องจากในร่างกายของคนอ้วนมักมีปริมาณเกลือหรือโซเดียมมากกว่าคนทั่วไป อีกทั้งปริมาณโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปก็ยังสูงกว่าด้วยเช่นกัน ซึ่งสองปัจจัยนี้ทำให้เป็นนิ่วในไตได้

อย่างไรก็ตาม แนวทางการป้องกันโรคนิ่วในไตสำหรับทุกคน คือ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโปรตีนสูง บางกรณีแนะให้ดื่มน้ำมะนาว เนื่องจากมีซิเตรทเป็นตัวช่วยลดการสะสมของก้อนนิ่วได้

หากใครรู้ตัวว่าอ้วน แล้วไม่อยากป่วยเป็นนิ่วในไต หรือโรคอื่นๆ ที่เกิดเพราะความอ้วน แนะตั้งใจลดน้ำหนักเพื่อรักษาสุขภาพดีกว่านะ



บทความเรียงตามเดือน

ช่องทางติดต่อ

เกี่ยวกับผู้เขียน

© อ.สุวัฒน์ มอบ" ให้" เป็นวิทยาทาน เพื่อให้นำไปพัฒนาวิชาชีพ. Powered by Blogger.
พิมพ์ข้อความเพื่อค้นหาบทความ หรือ อาการ
search for article or syndrome

Popular Posts